นโยบายความเป็นส่วนตัว

      • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

        เรียน   ลูกค้าทุกท่าน

                บริษัท spacegame จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน บนเว็บไซต์ www.spacegame.co.th รวมถึงเนื้อหา และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น บริษัทจึงได้ประกาศนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้ท่านได้รับทราบถึงวิธีการที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตลอดจนสิทธิตามกฎหมายของท่านที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ “ผู้ใช้บริการ หรือ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ ผู้ใช้บริการเว็บไซต์ ลูกค้า พนักงาน บุคลากร ตัวแทน และบุคคลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและการดำเนินงานต่าง ๆ ของบริษัท “กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562

             (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) กฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต ทางบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบด้วยการเผยแพร่ให้ท่านทราบผ่านช่องทางที่เหมาะสม หรือผ่านช่องทาง www.spacegame.co.th

        1. การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล :   ระบุชนิดของข้อมูลส่วนบุคคลที่คุณจะเก็บ วัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูล และวิธีการเก็บ ให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เช่น
        • การลงทะเบียนรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราผ่านทางเว็บไซต์บริษัท
        • การทำแบบสอบถามความสนใจ
        • การเข้าร่วมกิจกรรมการแนะนำผู้ซื้อรายใหม่ของบริษัท (หากมี) หรือกิจกรรมอื่น ๆ ของบริษัท
        • การติดต่อผ่านโทรศัพท์ อีเมล หรือช่องทางการติดต่ออื่น ๆ ของบริษัท
        • ข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ นามสกุล อายุ วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน
        • ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล
        • ข้อมูลบัญชี เช่น บัญชีผู้ใช้งาน รหัสผ่าน ประวัติการใช้งาน
        • ข้อมูลการทำธุรกรรมและการเงิน เช่น ประวัติการสั่งซื้อ รายละเอียดบัตรเครดิต บัตรเดบิด บัญชีธนาคาร
        • ข้อมูลอื่น ๆ เช่น รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ข้อมูลที่ปรากฏบนเอกสารที่ท่านนำส่งให้แก่บริษัท และข้อมูลอื่นใดที่ถือว่าเป็น ข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

        1. การใช้ข้อมูล : อธิบายวัตถุประสงค์ของการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการใช้ในการดำเนินการต่างๆ
        • การตรวจสอบความปลอดภัยของบัญชี การให้บริการแก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน ร่วมกิจกรรมแคมเปญต่างๆ จำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เพื่อความจำเป็นในการยืนยันตัวบุคคล เพื่อความจำเป็นใน การซื้อขายของออนไลน์ ใช้ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือส่งมอบสินค้าและบริการ เพื่อความจำเป็นในการดำเนินการด้านการเงิน
        • เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพจิตใจของบุคคล
        • จำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือของบุคคลอื่น

        1. การเผยแพร่ข้อมูล : ระบุว่าคุณจะเผยข้อมูลส่วนบุคคลกับบุคคลภายนอกในกรณีใด และอธิบายเงื่อนไขและเหตุผลที่เกี่ยวข้อง
        • ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมได้โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องขอความยินยอม
        • ต้องไม่ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
        • การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอความยินยอม ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องบันทึกการใช้หรือเปิดเผยนั้นไว้

        1. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล : อธิบายมาตรการที่คุณใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัส การใช้ระบบควบคุมการเข้าถึง เป็นต้น
        • การระบุตัวตน และกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Identity and Access Management)
        • การปกป้องและคุ้มครองข้อมูล (Information Protection)
        • การป้องกันการถูกโจมตีจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Threat Protection)
        • ความปลอดภัยของข้อมูล สารสนเทศ เข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์ หรือได้รับอนุญาตเท่านั้น จะต้องไม่มีการเปิดเผยโดยมิชอบ หรือโดยบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ หรือไม่ได้รับอนุญาต มาตรการที่นำมาใช้ เช่น การจำแนก หรือจัดชั้นข้อมูล (Data/information classification) การตั้งค่ารหัสไฟล์/แฟ้มข้อมูล (Password)
        • ความปลอดภัยของข้อมูล สารสนเทศ มีความถูกต้อง จะมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง ได้เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์หรือได้รับอนุญาตเท่านั้น มาตรการที่นำมาใช้ เช่น การจัดการสิทธิ์ (access rights)
        • ความปลอดภัยของข้อมูล สารสนเทศ มีความพร้อมในการใช้งานอยู่เสมอ สามารถเข้าถึงได้เมื่อต้องการ เฉพาะผู้มีสิทธิ์ หรือได้รับอนุญาต มาตรการที่นำมาใช้ เช่น การควบคุมการเข้าถึง (Access control)

        1. การลบข้อมูล : ระบุกระบวนการในการลบข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อไม่จำเป็นต่อการใช้งานหรือเมื่อผู้ใช้ร้องขอให้ลบข้อมูล ข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลดำเนินการลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูล ส่วนบุคคลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
        • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
        • เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลถอนความยินยอมในการเก็บรวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้ต่อไป
        • เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลคัดค้านการเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา ๓๒ (๑) และผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อาจปฏิเสธคำขอตามมาตรา ๓๒ (๑) (ก) หรือ (ข) ได้ หรือเป็นการคัดค้านตามมาตรา ๓๒ (๒)
        • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลได้ถูกเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่ กำหนด
        • ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลถูกขอให้ลบหรือทำลายหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถ ระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ตามวรรคหนึ่ง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องเป็น ผู้รับผิดชอบดำเนินการทั้งในทางเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายเพื่อให้เป็นไปตามคำขอนั้น โดยแจ้งผู้ควบคุม ข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ เพื่อให้ได้รับคำตอบในการดำเนินการให้เป็นไปตามคำขอ
        • กรณีผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสาม เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อสั่งให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลดำเนินการได้
        • คณะผู้เชี่ยวชาญ อาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการลบหรือทำลาย และทำให้ข้อมูลส่วนบุคคล เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูล ส่วนการลบข้อมูลส่วนบุคคลมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
        1. การระบุข้อมูล : ระบุข้อมูลที่ต้องการลบอย่างชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการลบข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง
        2. การตรวจสอบความสอดคล้องกับกฎหมาย : ตรวจสอบว่าการลบข้อมูลสอดคล้องกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวและข้อจำกัดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
        3. การดำเนินการลบ : ดำเนินการลบข้อมูลตามคำขอหรือตามที่จำเป็น โดยใช้วิธีการที่ปลอดภัยและเป็นมาตรฐาน
        4. การยืนยันการลบ : ยืนยันว่าข้อมูลถูกลบออกจากระบบทุกส่วนและไม่สามารถกู้คืนได้
        5. การบันทึกข้อมูล : บันทึกการดำเนินการลบข้อมูลเพื่อการติดตามและการตรวจสอบในอนาคต
        6. การแจ้งเตือนผู้ใช้ : แจ้งผู้ใช้เกี่ยวกับการดำเนินการลบข้อมูลเมื่อมีคำขอหรือตามนโยบายขององค์กร

        การลบข้อมูลส่วนบุคคลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายและไม่เป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลนั้น ๆ ในข้อมูล

         

        1. การติดต่อและการตรวจสอบ : ระบุวิธีการติดต่อคุณเพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคล และวิธีการตรวจสอบหรือปรับปรุงข้อมูล การติดต่อและการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลเป็นส่วนสำคัญของการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ถูกเก็บรักษาและใช้งานเป็นไปตามกฎหมายและมีความปลอดภัย
        • การติดต่อกับเจ้าของข้อมูล การสื่อสารกับบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อขอความยินยอมในการใช้ข้อมูล หรือในกรณีที่มีข้อขัดแย้งหรือข้อร้องเรียนเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
        • การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรักษาเป็นความจริงและไม่เป็นเท็จ เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของที่อยู่หรือข้อมูลการติดต่อ
        • การอัพเดตข้อมูล การตรวจสอบและอัพเดตข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลเป็นปัจจุบันและครบถ้วน เช่น การขอข้อมูลติดต่อล่าสุดจากลูกค้าหรือสมาชิก
        • การตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูล การตรวจสอบระบบและมาตรการความปลอดภัยเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว
        • การจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่ร้อยเรียงและเข้าถึงได้ การตรวจสอบการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้มั่นใจว่ามีการควบคุมและการเข้าถึงที่เหมาะสมตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้

        1. การข้อพิพาท : ระบุวิธีการแก้ข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว การแก้ข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวอาจมีวิธีการหลายแบบต่อไปนี้  คือวิธีการที่สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ข้อพิพาทดังนี้
        • การเสนอข้อมูลเพิ่มเติม ในบางกรณี ข้อพิพาทเกิดขึ้นเนื่องจากข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือผิดพลาด เพื่อแก้ปัญหานี้ สามารถเสนอข้อมูลเพิ่มเติม หรือแก้ความผิดพลาดได้ เช่น การให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัว หรือการอธิบายวิธีการใช้ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่น
        • การตกลงต่อรอง การให้โอกาสให้กับฝ่ายที่ขัดแย้งเพื่อเข้าไปต่อรองเกี่ยวกับเงื่อนไขที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย เช่น การตกลงต่อรองเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลส่วนตัวในขอบเขตที่ยอมรับได้
        • การแสดงความเข้าใจและความรับผิดชอบ การให้ความเคารพและเข้าใจต่อความสำคัญของความเป็นส่วนตัวของบุคคล และการยอมรับความรับผิดชอบในการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
        • การเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือข้อกำหนด ในบางกรณี การเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือข้อกำหนดเพื่อให้เข้ากับความต้องการและความเห็นของผู้ใช้ อาจเป็นวิธีที่ดีในการแก้ข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
        • การให้ความช่วยเหลือของผู้กำกับ ในกรณีที่การแก้ไขข้อพิพาทไม่สามารถทำการได้ด้วยตนเอง การส่งเรื่องไปยังหน่วยงานหรือผู้กำกับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำอาจจะเป็นวิธีที่ดีในการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว
        • การใช้กฎหมาย ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทที่มีความสำคัญและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่น การใช้กฎหมายอาจเป็นวิธีสุดท้ายที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวได้

        1. การอนุญาตและการปฏิเสธ : อธิบายเงื่อนไขและวิธีการที่ผู้ใช้สามารถอนุญาต หรือปฏิเสธการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของตน การใช้งานข้อมูลโดยบุคคลที่ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง อธิบายว่าคุณจะใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลกับบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างไร (เช่น บริษัทพันธมิตร) และให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่เหมาะสม

            เงื่อนไขการใช้งานข้อมูล ผู้ใช้ควรระบุเงื่อนไขการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลในเอกสารนโยบายความเป็นส่วนตัว ซึ่งควรระบุถึงวัตถุประสงค์ของการใช้ข้อมูล ประเภทของข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวม ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล และบุคคลที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล

        • การอนุญาตหรือปฏิเสธโดยชัดเจน ผู้ใช้ควรมีการตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าจะอนุญาตหรือปฏิเสธการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของตน โดยบุคคลที่ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในเอกสารตามนโยบายความเป็นส่วนตัว
        • การใช้ข้อมูลโดยบุคคลที่ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง ผู้ใช้ควรให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับบุคคลที่ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้องเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้เท่านั้น และควรจำกัดการเปิดเผยข้อมูลเฉพาะตามที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
        • การป้องกันการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่เหมาะสม ผู้ใช้ควรมีมาตรการป้องกันเพื่อป้องกันการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่เหมาะสมโดยบุคคลที่ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถรวมถึงการใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การใช้ระบบความปลอดภัยที่เข้มงวด เป็นต้นฯ

        1. การเก็บข้อมูลของเด็ก : อธิบายว่าคุณมีมาตรการใดในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กและเยาวชนหรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และวิธีการรับรอง
          ว่าคุณได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลก่อนที่จะเก็บข้อมูล
        • ขอความยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ก่อนที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กและเยาวชนหรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องมีการขอความยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลของเด็กก่อน โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กมีอายุต่ำกว่าที่กำหนดตามกฎหมาย เช่น 18 ปี ซึ่งมีวัยเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนบุคคลของเขาอาจถูกนำไปใช้โดยไม่เหมาะสม
        • การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัย การใช้เทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การใช้ระบบการตรวจจับการเข้าถึงที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้นฯ
        • การจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กควรถูกจัดเก็บในระบบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง เช่น การใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด การใช้บริการคลาวด์ที่มีการรักษาความปลอดภัยในระดับสูง เป็นต้นฯ
        • การศึกษาและการส่งเสริมการรับรอง เป็นวิธีที่ดีในการแนะนำผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับความสำคัญของการควบคุมความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเด็ก และวิธีการที่สามารถใช้ในการรับรองความยินยอมของเด็ก

        1. การเปลี่ยนแปลงในนโยบาย : แจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายความเป็นส่วนตัว และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ต่อไปดังนี้
        • การแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ ผู้ใช้ควรได้รับการแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในนโยบายความเป็นส่วนตัว โดยช่องทางที่เหมาะสม เช่น อีเมล การแจ้งเตือนในแอปพลิเคชั่น หรือการประกาศบนเว็บไซต์
        • การอธิบายการเปลี่ยนแปลง ในการแจ้งเตือนผู้ใช้ ควรอธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในนโยบายความเป็นส่วนตัว รวมถึงเหตุผล และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
        • ระยะเวลาเริ่มต้นของการใช้นโยบายใหม่ ผู้ใช้ควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวันที่ ที่นโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ซึ่งควรให้เวลาเพียงพอให้ผู้ใช้มีเวลาทำความเข้าใจและปรับตัวตาม
        • การเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ ในบางกรณี ผู้ใช้อาจได้รับสิทธิในการเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธการใช้ข้อมูลตามนโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่ และจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนที่จะใช้ข้อมูลใหม่ตามนโยบายดังกล่าว
        • การเคลียร์ความเข้าใจ ผู้ใช้ควรได้รับข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง และมีการจัดการให้เป็นที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสนผิดพลาด หรือความไม่พอใจในภายหลัง

         

         

         

         

นโยบายความเป็นส่วนตัว

ยอมรับ